แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 61
1
บริการด้านอาหาร: แนะนำกินอย่างไรเมื่อไตรกลีเซอไรด์สูง

เชื่อว่า ผู้หญิงหลายคนอยากที่จะมีหุ่นที่สวยงามไปพร้อมๆกับการมีสุขภาพร่างกายที่ดี ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การควบคุมและเลือกรับประทานอาหาร นอกจากจะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกับก็มีสาวๆที่เชื่อว่า การงดรับประทานไขมันนั้น จะช่วยให้มีหุ่นที่สวยได้ แต่ร่างกายของเราก็ต้องการไขมันไปช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย

โดยเฉพาะไขมันดี ก็คือไขมันที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ในทางกลับกันจะส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดและสุขภาพโดยรวมของเรา จะทำหน้าที่ช่วยลดการสะสมคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์ และลดไขมันเลวในหลอดเลือด จึงช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ไขมันดีในกลุ่มนี้ เช่น ไขมันไม่อิ่มตัว กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล หรือจากพืชบางชนิด เช่น เมล็ดเชีย เมล็ดแฟล็ก ถั่วดาวอินคา น้ำมันมะกอก เป็นต้น

แต่ก็มีหลายคนเวลาที่ไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันที่ตับสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ถึงแม้เราจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้รับประทานอาหารไขมันสูงแต่ร่างกายก็จะผลิตไตรกลีเซอไรด์มาอยู่ดี ซึ่งโดยปกติแล้วระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดควรจะไม่เกิน 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แต่หากมีไตรกลีเซอไรด์เกินกว่านั้น เนื่องจากชอบกินอาหารไขมันสูง ขนมหวานมากเกินไป ก็ถือว่าอยู่ในจุดที่อันตรายต่อร่างกายแล้ว ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการรับประทานอาหาร เพื่อลดไตรกลีเซอไรด์ เพื่อเป็นทางเลือกสุขภาพให้เราได้เลือกรับประทานอาหารมากขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดี

 
ต้องบอกก่อนว่า ไขมันเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในร่างกายของเรา แต่หากมีในระดับสูงเกินไป ก็จะทำร้ายหัวใจได้ เช่น ทำให้หลอดเลือดแดงอุดตัน และอาจเป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง แต่ก็มีหลายวิธีในการลดไตรกลีเซอไรด์ได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าหากมีไตรกลีเซอไรด์สูง ให้ตรวจสอบความหวานของอาหารที่เรารับประทาน เช่นหาก อาหารที่เรารับประทานมีน้ำตาลฟรุกโตส
 
ก็จะทำให้เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ได้ ให้ระวังอาหารที่มีส่วนผสมจากน้ำตาล สำหรับวิธีการรับประทานอาหาร ก็ควรลดอาหารที่มีรสหวานไม่ว่าจะเป็นขนมหรือเครื่องดื่มรสหวานทุกชนิด เป็นสาเหตุให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้ เพราะการกินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมากเกินไปจนทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมด จะทำให้ระบบการสร้างและย่อยสลายไตรกลีเซอไรด์ผิดปกติไปด้วย

นอกจากนี้ ควรเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะจะช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ ควรเลี่ยงอาหารทอดหรือผัดที่ใช้น้ำมันมาก รวมทั้งหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ติดมันด้วย และหมั่นเติมไขมันดีให้ร่างกาย รับประทานให้ครบ 3 มื้อหลัก เพราะการอดอาหารจะทำให้สัดส่วนในการรับพลังงานจากอาหารของร่างกายผิดเพี้ยนไป

ดังนั้น เราควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เน้นหนักมื้อเช้า เบามื้อเที่ยง และกินมื้อเย็นให้น้อยกว่ามื้อเที่ยงครึ่งหนึ่ง ซึ่งวิธีรับประทานอาหารตามนี้จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้ดี ไม่มีพลังงานเหลือไปสร้างไตรกลีเซอไรด์ได้ และต้องรับประทานผัก-ผลไม้ให้มากขึ้น เพราะคนที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เพราะกากใยอาหารที่ได้จากผักและผลไม้ รวมทั้งธัญพืชชนิดต่าง ๆ มีส่วนช่วยลดการดูดซึมไขมันในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการเกิดไขมันไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้นด้วย และที่สำคัญสำหรับใครที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็ควรจะงดเพราะบุหรี่มีส่วนกระตุ้นให้ตับสร้างไตรกลีเซอไรด์มากขึ้นรวมไปถึง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มขึ้นได้
 
ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

2
หมอออนไลน์: ท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย (Giardiasis)

ไกอาร์เดีย (Giardia) เป็นโปรโตซัว (สัตว์เซลล์เดียว) ชนิดหนึ่งแบบเดียวกับอะมีบา สามารถเข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อที่ลำไส้เล็ก กลายเป็นโรคท้องเดินทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังได้

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะพบในเด็ก มักพบในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี (เช่น ไม่มีส้วมใช้ ไม่มีน้ำดื่มสะอาด มีแมลงวันชุกชุม) หรือในกลุ่มคนที่ดื่มน้ำไม่สะอาด หรือขาดสุขนิสัยที่ดี

การติดเชื้อมักเกิดได้บ่อยในสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้นของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยจิตเวช และในหมู่ชายรักร่วมเพศ

ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้คนอื่น

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไกอาร์เดียแลมเบลีย (Giardia lamblia) ที่อยู่ตามดินและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำห้วย หนอง บึง ทะเลสาบ บ่อน้ำ เป็นต้น และอาจปนเปื้อนอยู่ในสระว่ายน้ำและน้ำประปา (เนื่องจากเชื้อในรูปของซิสต์* มีความคงทน ไม่ถูกทำลายด้วยคลอรีน) ส่วนใหญ่ติดต่อโดยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้แบบดิบ ๆ หรือจากการกินผัก ผลไม้ และอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ นอกจากนี้ยังอาจติดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อโดยผ่านทางการสัมผัสมือ หรือทางเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในหมู่ชายรักร่วมเพศ)

ระยะฟักตัว ประมาณ 1-3 สัปดาห์

*เชื้อนี้มีอยู่ตามดินและน้ำในรูปของถุงหุ้มหรือซิสต์ (cyst) ซึ่งสามารถมีชีวิตได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน เมื่อคนกินซิสต์เข้าไปในลำไส้ ถุงหุ้มก็จะแตกปล่อยให้เชื้อออกมาแบ่งตัวเจริญเติบโตเป็นเชื้อระยะเจริญหรือโทรโฟซอยต์ (trophozoites) ซึ่งจะรุกล้ำเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ ทำให้ลำไส้อักเสบและขัดขวางการดูดซึม และส่วนหนึ่งเจริญเป็นซิสต์ ขับออกทางอุจจาระไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย

อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน แรกเริ่มมีอาการถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง (บางรายอาจถ่ายเหลวปริมาณมาก วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า) 3-4 วันต่อมาอุจจาระมีลักษณะเป็นมัน เป็นฟอง ลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด อาจส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วห้อง อุจจาระมักไม่มีมูกหรือเลือดปน (น้อยรายที่อาจมีมูกโดยไม่มีเลือด) ผู้ป่วยมักมีอาการปวดบิดในท้อง มีลมในท้องมาก ท้องอืด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจมีไข้ต่ำ ๆ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอาจมีอาการอยู่นาน 1-3 สัปดาห์ (บางรายอาจนาน 6 สัปดาห์) แล้วหายไปได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยอาจมีอาการเรื้อรัง

ในรายที่เป็นเรื้อรัง (อาจเกิดตามหลังอาการเฉียบพลันหรือไม่ก็ได้) มักมีอาการที่เกิดจากการดูดซึมผิดปกติ (malabsorption) ได้แก่ อาการถ่ายอุจจาระเหลวปริมาณมากและบ่อย อุจจาระมีสีเหลืองเป็นฟอง มีลักษณะเป็นมันลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีท้องผูกสลับท้องเดินนานเป็นแรมเดือนแรมปี มักมีอาการปวดท้อง (ซึ่งจะเป็นมากหลังกินอาหาร) มีลมในท้อง ท้องอืด และน้ำหนักลด


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่ถ่ายรุนแรงอาจมีภาวะขาดน้ำ ซึ่งมักไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต (ยกเว้นถ้าพบในทารกอาจเป็นอันตรายได้)

อาจเกิดภาวะพร่องแล็กเทส ทำให้มีอาการท้องเดิน หรือปวดท้องเวลาดื่มนม

ที่สำคัญ คือ ทำให้ลำไส้มีการดูดซึมที่ผิดปกติ มีอาการท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด และขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่เป็นโรคนี้เรื้อรัง จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต น้ำหนักน้อย ขาดสารอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและพัฒนาการทางสมอง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย โดยตรวจพบภาวะขาดน้ำ ท้องอืด มีอาการกดเจ็บท้องเล็กน้อย ได้กลิ่นอุจจาระเหม็นจัด บางคนอาจมีไข้ต่ำ ๆ

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจพบเชื้อไกอาร์เดียในอุจจาระ (อาจต้องนำอุจจาระไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ซ้ำ ๆ หลายครั้ง หากตรวจครั้งแรก ๆ ไม่พบเชื้อ) ในกรณีที่ไม่แน่ใจ อาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น การตรวจสารก่อภูมิต้านทาน (antigen) ในอุจจาระด้วยวิธี IFA หรือ ELISA

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาเบื้องต้นด้วยการให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ

เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรไนดาโซล นาน 5 วัน

ถ้ามีภาวะขาดสารอาหารหรือน้ำหนักน้อย ก็จะบำรุงอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ ตามลักษณะอาการที่พบ

ผลการรักษา มักจะได้ผลดี ยกเว้นในรายที่ดื้อยา อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น เช่น ทินิดาโซล (tinidazole), อัลเบนดาโซล


การดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการถ่ายบ่อย อุจจาระมันเป็นฟอง ลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด
    ถ่ายรุนแรง อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ได้น้อย (สังเกตพบปัสสาวะออกน้อย และมีสีเข้มอยู่เรื่อย ๆ)
    มีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง สังเกตพบมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าหนา ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย
    มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจหวิวใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว

สำหรับทารก มีท่าทางซึม ไม่ร่าเริง กระหม่อมบุ๋ม

    มีไข้เกิน 3-4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    กินยาตามที่แพทย์แนะนำ 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

1. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร เปิบอาหาร หลังถ่ายอุจจาระ หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก

2. อย่าดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบ ๆ ถึงแม้จะดูใสสะอาดก็ไม่ปลอดภัย ควรต้มน้ำให้สุกก่อนดื่ม (ต้มให้เดือดนานอย่างน้อย 10 นาที) หรือดื่มน้ำขวดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อแล้ว

3. เวลาเล่นน้ำในสระว่ายน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ ควรระวังอย่าให้น้ำเข้าปาก

4. กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ

5. สำหรับชายรักร่วมเพศ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาต


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่ติดเชื้อไกอาร์เดียส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้คนอื่น ดังนั้น จึงควรรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตามหลักสุขลักษณะพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายอุจจาระลงในส้วม การล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร เปิบอาหาร และหลังถ่ายอุจจาระ

2. โรคนี้แม้ไม่ได้ให้ยารักษาก็อาจหายได้เอง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ การให้ยาปฏิชีวนะจะช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น และลดการแพร่เชื้อ

3. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หากมีอาการท้องเดินควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัย และรักษาโรคแต่เนิ่น ๆ

3
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


4
ดอกบัวในโถแก้ว: การทำดอกไม้เเห้ง

หากอยากยืดอายุให้ดอกไม้สวยๆ มีอายุอยู่ได้นานๆ แนะนำให้นำมาทำเป็น ‘ดอกไม้แห้ง’ ค่ะ วิธีการไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้ง่ายๆ เลย นอกจากจะยืดอายุดอกไม้ให้อยู่ได้นานแล้ว จะนำไปทำเป็นของขวัญให้คนรัก คนสำคัญ ก็ได้ค่ะ หรือจะนำไปแต่งบ้านก็ได้น้าาา ลองไปดูไอเดียที่เรานำมาฝากกันเลยค่ะ

       วิธีทำดอกไม้เเห้ง

               ในกรณีดอกไม้สด ควรจัดใส่เเจกัน เปลี่ยนนํ้าเเละล้างก้านทุกวัน ใช้กรรไกรคมๆ  ตัดปลายก้านออกทุกวัน ครั้งละ 1-2 ซ.ม  วิธีนี้จะช่วยยืดอายุให้ดอกไม้สดได้นานขึ้นยิ่งถ้า  อยู่ห้องเเอร์จะดีมาก

      กรณีดอกไม้ที่เริ่มโรยราไปตามสภาพเเละกาลเวลา           

         1. ปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ

           วิธีนี้ทำได้ง่ายที่สุด และเหมาะมากสำหรับสภาพอากาศแบบประเทศไทยโดยแบ่งดอกไม้เป็นกำย่อยๆ 5-10 ช่อ มัดที่ก้าน แล้วนำไปแขวนกลับหัวลงให้ก้านตรงควรแขวนไว้ในที่แห้งๆ ไม่ถูกแสงแดดโดยตรง เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน โรงรถ ฯลฯ

2.  การทำดอกไม้ทับแห้ง

          ทำได้โดยการเก็บลงหนังสือเล่มหนาๆ แต่ก่อนจะเก็บลงหนังสือ ควรนำดอกไม้มาตัดแต่ง ซึ่งสามารถนำดอกไม้แห้งที่ได้ มาใช้ทำการ์ด ที่คั่นหนังสือตกแต่งอุปกรณ์ต่างๆได้ แต่จะเหมาะสำหรับดอกไม้ที่มีกลีบไม่มากนัก ทับได้ดยการเก็บลงสือเล่มหน แต่ก่อนจะเก็บลงหนังสือ ควรนอกไม้มาตัดแต่ง ซึ่งสามารถนำดอกไม้แห้งที่ได้ มาใชทำการ์ด ที่คั่นหนังสือ ตกแต่งอุปกรณ์ต่างๆได้ แต่จะเหมาะสำหรับดอกไม้ที่มีกลีบไม่มาก

3. ใช้สารดูดความชื้น ใช้ซิลิกาเจล (เหมือนที่ใช้ดูดความชื้นสำหรับกล้องและส่าหร่ายต่างๆ) แต่เป็นแบบเม็ดละเอียด

        วิธีทำ เริ่มต้นจากการนำเอาดอกไม้ที่ต้องการ อบแห้งมาตัดก้านออกให้ เหลือความ  ยาวประมาณ 1 นิ้วเป็นอย่างต่ำ หลังจากนั้นก็หาภาชนะที่มีขนาดใหญ่พอที่จะบรรจุดอกไม้ที่เราต้องการอบ เติมซิลิกาเจลลงในภาชนะประมาณ 1/2-1 นิ้ว ปักดอกไม้ที่เราเตรียมไว้ลงในซิลิกา แล้วค่อยๆ ใช้ช้อนตักซิลิกาเติมลงไปรอบๆ ดอก และในระหว่างกลีบดอก ระวังอย่าให้กลีบพับ จนกระทั่งกลบดอกไม้ท่วมหมด

      ขั้นต่อไป ถ้าเป็นดอกกุหลาบปิดฝาให้แน่นสนิท แล้วทิ้งไว้ประมาณ 7 ถึง 10 วันหรือถ้าเป็นดอกกล้วยไม้ ก็ยังไม่ต้องปิดฝา นำไปใส่เตาไมโครเวฟ ใช้ไฟแรง 1 นาที หลังจากนั้นนำออกมาตั้งทิ้งไว้ให้เย็นตัวลง เมื่อดอกไม้แห้ง พอแล้วค่อยๆเทซิลิกาเจลออก แล้วใช้พู่กันขนนุ่มๆ ปัดเศษซิลิกาเจลที่ติดๆอยู่ออกให้หมด อย่างเบามือ

     4. การใช้กลีเซอรีน เป็นวิธีการถนอมใบไม้ (ทำใบไม้โปร่งแสง)

     วิธีทำ เตรียมสารแช่โดยผสมกลีเซอรีน (หาซื้อตามร้านขายเคมีทำสบู่) 1 ส่วน กับน้ำอุ่นมากๆ 2 ส่วน กวนผสมกันให้ดี ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น (กะปริมาณให้มากพอท่วมใบไม้)

       ขั้นต่อไป เตรียม ใบไม้โดยเลือกใบที่สวยสมบูรณ์ ไม่มีรอยถลอก หรือฉีกขาด รอยพวกนี้จะเห็นชัดขึ้นเมื่อเสร็จกระบวนการแช่ เรียงใบในภาชนะโดยให้ส่วนโคนใบอยู่ด้านล่าง ตั้งปลายใบขึ้น แล้วจึงเทสารแช่ลงไปให้ท่วมใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือน เอาใบขึ้นมาล้างน้ำ เช็ดให้แห้ง และวางตากลมให้แห้งเท่านั้น

    5.ใช้ทรายละเอียด

    อีกวิธีหนึ่งคือใช้ silica gel แบบทรายละเอียด ซึ่งมีขายตามร้านขายเคมีทั่วไป  (ราคากิโลละประมาณ 200 บาท) นำมาใช้ดูดความชื้นออกจากดอกไม้ ซึ่งผง

    silica gel นี้สามารถนำกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ โดยการนำไปอบไล่ความชื้นในเตาไมโครเวฟ

   เคล็ดลับทำดอกไม้แห้ง

          - การเลือกดอกไม้ใดๆ ที่จะนำมาทำดอกไม้แห้ง ต้องคำนึงถึงอายุของดอกนั้นด้วย ว่า เขาถึงจุดอิ่มตัวหรือยัง คือรอจนดอกไม้ไม่เปลี่ยนสีอีกแล้ว ตัดดอกให้ติดก้านประมาณ 1 นิ้ว

           - ใช้กล่องเหล็ก หรือขวดแก้วที่มีฝาปิดสนิท ใส่ silica gel ที่แห้งสนิทลงไปหนา สัก 1-2 นิ้ว วางดอกไม้ลงไป อย่าให้แน่นนัก ถ้ามีหลายดอก

            - ค่อยๆ ตัก silica gel กลบดอกไม้ โดยโรยเข้าไปทุกซอกมุมของกลีบดอกจนทั่วถึง เมื่อดอกถูกฝังกลบจนมิด แล้วจึงปิดฝาภาชนะให้แน่น เก็บไว้ในที่แห้ง ประมาณ 4-5 วัน อย่าทิ้งไว้นานเกินไปจะทำให้กลีบดอกไม้กรอบและเปราะ

            - เมื่อถึงเวลาก็ค่อยเทออกมาจากภาชนะ บรรจงใช้พู่กันปัดผงทรายออกเบาๆ ถ้าต้องการให้ดอกแห้งคงทนก็ให้ spray ด้วยแล็กเกอร์ หรือจะเก็บดอกใส่ขวดแก้วซึ่ง
       บรรจุเม็ด silica เพื่อกันความชื้นแล้วผนึกให้แน่น

5
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ไข้รูมาติก Rheumatic Fever

Rheumatic Fever หรือไข้รูมาติก เป็นกลุ่มอาการที่มีการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส กรุ๊ปเอ (Group A Streptococcus) ที่รักษาไม่หายขาด โดยเฉพาะอาการคออักเสบหรือไข้อีดำอีแดงที่ไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดข้อต่อกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก และอาจมีการทำงานผิดปกติของหัวใจร่วมด้วย

ไข้รูมาติกสามารถพบได้ทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยในเด็กอายุ 5-15 ปี หากผู้ป่วยมีอาการของไข้รูมาติกควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อหัวใจในระยะยาวและอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ซึ่งการรักษาจะเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะและวิธีอื่น ๆ ตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคน


อาการของ Rheumatic Fever
Rheumatic Fever มักจะแสดงอาการของโรคใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อคออักเสบ ผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือเกิดหลายอาการร่วมกัน อีกทั้งอาการที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ในระหว่างที่มีอาการป่วย

อาการของ Rheumatic Fever มีความหลากหลายไปตามตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดการอักเสบ ส่วนมากมักพบการอักเสบที่บริเวณหัวใจ ข้อต่อ ผิวหนัง หรือระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ ดังนี้

มีไข้ อ่อนเพลีย
ต่อมทอนซิลบวมแดง
มีอาการปวดหรือกดเจ็บตามข้อต่อกระดูก ส่วนใหญ่จะพบบริเวณหัวเข่า ข้อเท้า ศอก และข้อมือ
เจ็บหรือปวดตามข้อต่อใดข้อต่อหนึ่งก่อนจะลามไปยังข้อต่ออื่น ๆ
ข้อต่อกระดูกมีรอยแดง แสบ หรือบวม
ปวดกล้ามเนื้อ
มีตุ่มก้อนขนาดเล็กอยู่ใต้ผิวหนัง แต่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก และหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
ตรวจพบหัวใจเต้นเป็นเสียงฟู่ (Mur-Mur)
เกิดรอยผื่นที่มีลักษณะแบนหรือนูนขึ้นเล็กน้อย ขอบขรุขระ แต่ไม่มีอาการเจ็บ
มีอาการกระตุกหรือเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Sydenham Chorea) ซึ่งมักพบในบริเวณมือ เท้า และใบหน้า
แสดงพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ร้องไห้หรือหัวเราะอย่างไม่ถูกกาลเทศะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการเคลื่อนไหวผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าบุตรหลานหรือตนเองมีอาการคออักเสบ โดยจะพบอาการเจ็บคอเฉียบพลัน เจ็บเมื่อกลืน มีไข้ ปวดหัว เจ็บท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจโดยเร็ว


สาเหตุของ Rheumatic Fever

Rheumatic Fever เป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ ที่เป็นสาเหตุของอาการคออักเสบหรือไข้อีดำอีแดง ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้มีส่วนประกอบของโปรตีนที่คล้ายกับโปรตีนของเนื้อเยื่อบางส่วนในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจึงทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายแทนการกำจัดแบคทีเรียดังกล่าว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการบวมโดยเฉพาะบริเวณหัวใจ ข้อต่อ ผิวหนัง และระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ด้วยเหตุนี้ หากมีอาการคออักเสบหรือไข้อีดำอีแดงที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่หายดี จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงที่อาการของผู้ป่วยจะกลายเป็นไข้รูมาติก นอกจากนี้ สมาชิกในครอบครัวหรือตนเองที่มียีนบางชนิดที่ส่งผลให้ร่างกายกระตุ้นอาการ การสัมผัสเชื้อแบคทีเรียบางชนิด การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัดหรือระบบสุขาภิบาลไม่มีคุณภาพ ก็เป็นส่วนสำคัญที่อาจก่อให้เกิดการส่งต่อและการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียคออักเสบชนิดต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว


การวินิจฉัย Rheumatic Fever

การตรวจ Rheumatic Fever จะมีอยู่หลายขั้นตอน โดยแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติทางการแพทย์ร่วมกับการตรวจร่างกาย และตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

การเพาะเชื้อจากไม้ป้ายลำคอเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของคออักเสบ
การตรวจเลือดจะช่วยตรวจจับสารภูมิต้านทานที่มีเชื้อแบคทีเรียในเลือดของผู้ป่วย รวมถึงตรวจหาสาเหตุของอาการอักเสบภายในร่างกายโดยการตรวจวัดระดับโปรตีน C-Reactive และการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงใน 1 ชั่วโมง
การทดสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) โดยจะบันทึกการส่งคลื่นไฟฟ้าผ่านหัวใจของผู้ป่วย ซึ่งผลการตรวจจะแสดงให้เห็นหากหัวใจของผู้ป่วยมีการทำงานที่ผิดปกติและหัวใจบางห้องโตกว่าปกติส่วนมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
การทำเอ็กโคหัวใจ (Echocardiogram) โดยการใช้คลื่นเสียงสร้างภาพการทำงานของหัวใจ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ตรวจพบหากหัวใจมีการทำงานที่ผิดปกติ
การรักษา Rheumatic Fever
แพทย์จะมุ่งการรักษา Rheumatic Fever ไปที่การกำจัดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ บรรเทาอาการ ควบคุมการอักเสบ และป้องกันไม่ให้อาการของโรคกลับมาเกิดซ้ำ


การใช้ยาปฏิชีวนะ

แพทย์อาจสั่งจ่ายยาเพนิซิลลิน (Penicillin) หรือยาปฏิชีวนะอื่น ๆ เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ หลังจากนั้นจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิดอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ โดยอาจใช้เวลาในรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปี แต่ผู้ที่มีอาการอักเสบบริเวณหัวใจอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี


การใช้ยาต้านอักเสบ

แพทย์จะจ่ายยาบรรเทาอาการปวดอย่างยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการอักเสบ อาการไข้ และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น หากอาการของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาหรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น แพทย์อาจสั่งจ่ายยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) แทน


การใช้ยากันชัก

แพทย์จะจ่ายยากันชักในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Sydenham Chorea) อาทิ ยาวาลโปรเอท (Valproate) หรือยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine)

การพักฟื้นร่างกายอย่างเต็มที่
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น โดยอาจใช้เวลาในการพักฟื้น 2-3 สัปดาห์ และหากหัวใจของผู้ป่วยมีการทำงานที่ผิดปกติเนื่องจากมีไข้ อาจจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้น 2-3 เดือน


ภาวะแทรกซ้อนของ Rheumatic Fever

เนื่องจาก Rheumatic Fever มักมีอาการต่อเนื่องนานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน จึงอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวจากการติดเชื้อ โดยผู้ป่วยบางรายอาจเป็นโรคลิ้นหัวใจรูมาติก (Rheumatic Heart Disease) หลังจากมีอาการพื้นฐานของโรคไข้รูมาติก 10-20 ปี

นอกจากนี้ อาจเกิดความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ อาทิ กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหาย ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว การติดเชื้อในชั้นเยื่อบุหัวใจ เยื่อรอบหัวใจมีอาการบวม หัวใจเต้นเร็วและมีจังหวะไม่คงที่ หรือลิ้นหัวใจได้รับความเสียหายขณะมีอาการของโรคที่รุนแรง ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับลิ้นหัวใจอาจเป็นสาเหตุของการทำงานผิดปกติของหัวใจในอนาคต และอาจก่อให้เกิดภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) และภาวะหัวใจวายได้ หากอาการของ Rheumatic Fever ไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต


การป้องกัน Rheumatic Fever

หากพบว่าตนเองหรือบุตรหลานมีอาการคออักเสบหรือไข้อีดำอีแดง ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บคอ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมและมีขนาดใหญ่ มีจุดสีแดงขึ้นบริเวณเพดานปาก และปวดหัว ซึ่งการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วงป้องกันการเกิด Rheumatic Fever ได้ 

นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัยที่ดีด้วยการปิดปากขณะไอหรือจาม ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือใช้ของร่วมกับผู้ที่มีอาการป่วย เป็นอีกทางที่ช่วยป้องกันการเกิดอาการคออักเสบซึ่งเป็นต้นเหตุของ Rheumatic Fever ได้เช่นกัน

6
ความผิดปกติของฟันในเด็กแบบไหนที่ควรจัดฟันเด็ก
 
สุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็ก เป็นสุขอนามัยเบื้องต้นที่เด็กจะต้องฝึกดูแลรักษาความสะอาด ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยแนะนำและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของเด็กให้เด็กได้เข้าใจและแปรงฟันอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย การที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และช่วยในเรื่องของพัฒนาการของเด็กด้วย เพราะถ้าเด็กมีสุขภาพฟันที่ดี


เด็กก็จะมีสุขอนามัยที่ดี สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เช่นการบดเคี้ยวอาหาร ก็จะส่งผลทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเต็มที่ ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีด้วย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม และสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันให้เด็ก จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆ

เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก เพื่อที่จะได้ให้เด็กฝึกการแปรงฟันอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันฟันผุ เพราะถ้าหากเด็กเกิดฟันผุ ก็จะส่งผลเสียไปถึงอนาคตได้ ที่สำคัญที่สุดพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตฟันของเด็ก ถ้าหากเด็กมีปัญหาก็ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการรักษาหรือเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหา แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาฟันของเด็กแบบไหนที่เหมาะที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก วันนี้เราจะมาพูดถึงปัญหาฟันในเด็กที่เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการพาเด็กเข้ารับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น หรือปัญหาที่มีความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟัน ต้องบอกว่า หลายปัญหาอาจลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น อาการฟันสบคร่อม ที่ฟันล่างสบคร่อมทับฟันบน ในเด็กหากทิ้งไว้ไม่รักษา ขากรรไกรอาจมีขนาดผิดปกติ ทำให้ใบหน้าเว้า หน้าเบี้ยว และอาจทำให้เกิดความผิดปกติ ที่ข้อต่อขากรรไกรได้ รวมไปถึงถ้าหากเด็กมีภาวะฟันแท้หาย หรือขึ้นไม่ครบ ควรพามาพบทันตแพทย์จัดฟัน เพราะอาจช่วยดึงฟันที่ฝังให้งอกขึ้นมาได้


เด็กจะได้ไม่ต้องเป็นคนฟันหลอ หรือไม่ต้องใส่ฟันปลอม ไม่ต้องใส่รากฟันเทียม ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้ามารักษาด้วยการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี ถ้าหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว สำหรับในแง่ของปัญหาฟันในเด็กที่เหมาะสมที่ควรเข้ารับการจัดฟันก็มีสัญญาณบ่งบอกที่บอกว่าควรเข้ารับการจัดฟัน เพราะในวัยเด็ก เป็นวัยที่เหมาะสมเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติ คือ ปัญหาฟันหน้ายื่น ปัญหาการที่ฟันสบกันผิดปกติ ฟันซ้อน ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันน้ำนมหลุดเร็วเกินไป หรือหลุดช้าเกินไป หรือต้องเสียฟันน้ำนมแบบไม่ปกติ


ฟันหรือลักษณะขากรรไกร ดูผิดสัดส่วน เด็กยังติดการดูดนิ้วจนอายุเกิน 5 ปี มีอาการกัดหรือบดเคี้ยวอาหารลำบาก เด็กชอบหายใจทางปาก นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่ควรที่จะเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหา หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้ปัญหาที่มีอยู่เกิดความรุนแรงขึ้นได้ และอาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณใกล้เคียงด้วย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันเป็นประจำและถ้าหากมีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันทันที เพื่อเข้ารับการแก้ไข

 
อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กและเข้าปรึกษากับทันตแพทย์จัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแทพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก รวมไปถึงมีประสบการณ์ยาวนานด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง และแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ลดปัญหาการเกิดความผิดปกติของช่องปากและฟัน เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่

7
รถหกล้อรับจ้างปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ถ้าจะขนเฟอร์นิเจอร์ต้องใช้รถรับจ้างแบบไหน

หากต้องการใช้บริการ รถรับจ้างปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ที่รับขนย้ายของด่วน ตลอด24ชั่วโมงพร้อมคนยกและรับประกันสินค้าทุกการขนย้าย เน้นบริการอย่างมืออาชีพ การให้บริการของทีมงานเราจะมีให้บริการทุกจุดพื้นที่ของนนทบุรี จะใช้รถกระบะย้ายบ้านปากเกร็ดนนทบุรี หรือ6ล้อรับจ้างปากเกร็ด ที่ต้องการขนย้ายด่วน ของเรามีให้บริการ เราพร้อมให้บริการใกล้บ้านคุณ จะขนย้ายนนทบุรี หรือขนย้ายกรุงเทพก็สามารถใช้บริการได้

รถรับจ้างจะมีตามจุดพื้นที่เมื่อลูกค้าต้องการใช้บริการรถรับจ้างนนทบุรี ที่ใกล้บ้านลูกค้าจะสะดวกรวดเร็วในการขนย้ายไม่ว่าลูกค้าจะใช้รถกระบะรับจ้างหรือหกล้อรับจ้างที่ต้องการขนย้ายด่วนรถก็สามารถเข้าหน้างานได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอนั่นเองค่ะ

เมื่อการค้นหายบ้านหรือว่าขนย้ายคอนโดคนงานไซด์งานหรือสินค้าต่างๆไม่ว่าจะช่วงไหนก็ตามทางเราก็พร้อมที่จะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงเว้นแต่บางที่ที่ไม่สามารถเข้าตามเวลาได้ก็จะในละแวกกรุงเทพเพราะรถบรรทุกใหญ่จะมีติดเวลาซึ่งจะต้องรอเวลาในการขนย้ายนั่นเองค่ะรถหกล้อจะติดเวลาและสามารถให้บริการขนย้ายได้คือ 10 โมง ทางนี้ทางนั้นก็ขึ้นอยู่ในแต่ละจุดพื้นที่นั่นเองคะ


เลือกใช้บริการรถประเภทไหนที่ตอบโจทย์สำหรับการขนย้ายจะใช้กระบะตู้ทึบ กระบะคอกรับจ้าง หกล้อรับจ้าง 10 ล้อรับจ้าง หรือรถเฮี้ยบดี หากเราต้องการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ที่มีจำนวนสามชิ้น ของค่อนข้างที่จะคุมเครือคิดว่ากระบะอาจจะหมดหรืออาจจะไม่หมด ดังนั้นตัวลูกค้าเองอาจจะไม่กล้าตัดสินใจหากเลือกรถผิดชนิดก็อาจจะต้องใส่สินค้าไม่หมดและจะต้องเรียกรถอีกคันเข้ามา ดังนั้นจะต้องมีวิธีอย่างไรในการที่จะใช้บริการรถรับจ้างที่ถูกชนิดกับการขนย้ายสินค้า

หากลูกค้าไม่มีความมั่นใจในการขนย้ายก็สามารถให้กับทางทีมงานวางแผนการขนย้ายได้ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าแจ้งว่าขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ สามชิ้น ทางทีมงานรถรับจ้างขนของก็จะต้องถามต่อว่าในการขนของเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นจำนวนสามชิ้นนั้นมีอะไรบ้าง สมมุติว่ามีตู้เสื้อผ้าเตียง โต๊ะกระจกโดยประมาณในมุมมองของทีมงานรถรับจ้างขนของก็จะตอบว่าสามารถที่จะใส่รถกระบะรับจ้างขนได้
รวมผลงานรถรับจ้าง

หากสินค้านั้นสามารถถอดประกอบได้เช่นตู้เสื้อผ้าลูกค้าไม่ต้องการถอดประกอบแต่ต้องการถอดประกอบเรื่องนอนก็สามารถที่จะใส่รถกระบะรับจ้างได้หมดแน่นอนเพราะรถกระบะรับจ้างดูภายนอกอาจจะเล็กแต่จริงแล้วภายในนั้นมีความสูงและความกว้างประมาณ 1 เมตร 60 พอที่จะใส่พวกเฟอร์นิเจอร์ได้ดี ด้วย รถรับจ้างขนของปากเกร็ด

แต่ถ้าลูกค้าไม่ต้องการถอดประกอบและมีของมากกว่าตามที่แจ้งแนะนำให้ใช้เป็นรถหกล้อรับจ้างขนของเพื่อป้องกันว่าหากใช้รถกระบะรับจ้างขนของไปแล้วนั้นจะสามารถใส่ของได้น้อยกว่าต้องใช้รถหกล้อเพื่อครอบคลุมต่อการขนย้ายและใส่สินค้าของลูกค้าได้เต็มจำนวนโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าของแต่ละอย่างจะใส่หมดหรือไม่นั่นเองค่ะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นรายละเอียดเล็กๆสำหรับการวางแผนด้านการขนย้ายแต่รายละเอียดนั้นก็จะมีมากไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแพคของหรือคนยกของนั่นเองค่ะ
รถรับจ้างทั่วไป

ในส่วนของด้านคนยกของ หากของเป็นเฟอร์นิเจอร์โดยคร่าวๆก็จะใช้คนยกประมาณสามถึงสี่คน เมื่อเฟอร์นิเจอร์นั้นมีต้นทางอยู่ที่ชั้นหนึ่งและชั้นสอง บางลูกค้ามีข้อสงสัยบอกว่าทำไมต้องใช้คนยกต้อง สาม-สี่คนทั้งๆที่ของเป็นแค่ชิ้นใหญ่และไม่ได้มีน้ำหนักมาก ทางทีมงานต้องเรียนแจ้งก่อนเลยว่า เมื่อลูกค้าได้เลือกชนิดรถขนของแล้วรถจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีความสูงกว่ารถกระบะในการยกของในแต่ละครั้งถ้าใช้คนยกสองคน สินค้าของลูกค้าอาจเกิดการกระแทกได้เพราะไม่มีคนช่วยจับนั่นเองค่ะ แต่มีคนช่วยยกขึ้น เหตุผลเหล่านี้ลูกค้าก็ค่อนข้างที่จะเข้าใจพอสมควรใช่ไหมคะเพราะว่าการขนย้ายในแต่ละครั้งถ้าเน้นความปลอดภัยและให้บริการที่ถูกใจ ต้องเชื่อทางทีมงานนะค่ะเพราะเราผ่านปนะสบการณ์ขนย้ายมาเราจะรู้ว่าปัญหาที่พบเห็นเราคืออะไร แต่ถ้าลูกค้ามีคนยกด้วยก็สามารถจ้างได้ตามจำนวนที่ลูกค้าต้อการนั่นเองไม่

8
Doctor At Home: กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ocular Myasthenia Gravis)

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ocular Myasthenia Gravis) เป็นภาวะที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มหรือที่เรียกว่าโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune disorder) ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อบริเวณตา ทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตาอ่อนแรง เกิดอาการหนังตาตก และมองเห็นภาพซ้อนตามมา

อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยทั่วไป และอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในบริเวณอื่น ๆ ตามมา เช่น กล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูดและการกลืน กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า กล้ามเนื้อแขนและขา ไปจนถึงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจ ซึ่งอาจจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อหาวิธีควบคุมหรือดูแลอาการอย่างเหมาะสม

สาเหตุของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง ส่งผลให้แอนติบอดีทำลายการสื่อสารระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จนเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามมา

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกตินั้นยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด แต่ปัจจัยบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงในการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน จนทำเกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือทำให้ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้นได้ เช่น

    การเพิ่มขึ้นของอายุ โดยเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และเพศชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปีอาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้เพิ่มขึ้น
    การเคยมีประวัติเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus)
    การทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์
    การใช้ยารักษาโรคมาลาเรีย หรือยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    การเข้ารับการผ่าตัดบางอย่าง
    การติดเชื้อภายในร่างกาย

นอกจากนี้ การผลิตแอนติบอดีบางประเภทในระบบภูมิคุ้มกัน การถ่ายทอดแอนติบอดีจากพ่อแม่ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้ายแรงสู่เด็กทารกในครรภ์ หรือการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแต่กำเนิด ก็สามารถส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน

อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงมักจะปรากฎอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    กล้ามเนื้อบริเวณรอบเบ้าตาอ่อนแรง ส่งผลให้เกิดอาการหนังตาตก
    ดวงตาทั้งสองข้างมีลักษณะไม่เท่ากัน หรือแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
    เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพไม่ชัด หรือมองเห็นภาพซ้อน
    เกิดอาการตาล้าหรือเมื่อยล้าบริเวณดวงตา โดยอาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อใช้กล้ามเนื้อดวงตามาก
    อาจส่งผลต่อการแสดงออกของสีหน้า เช่น ดวงตาดูไม่เป็นธรรมชาติในขณะที่ยิ้มหรือพูดคุย
    ไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบริเวณโดยรอบดวงตาได้ตามปกติ เช่น การกะพริบตา การลืมตา หรือการหลับตา

อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่ควรไปพบแพทย์

หากอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงพัฒนาไปเป็นอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจ (Myasthenic Crisis) และส่งผลให้เกิดอาการหายใจลำบาก ภาวะหายใจล้มเหลว ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงแก่ชีวิต จึงควรไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

การวินิจฉัยกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ในเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย สอบถามอาการที่เกิดขึ้น และทำการตรวจเพิ่มเติมบางประการ เพื่อให้สามารถแยกแยะสาเหตุของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้อย่างชัดเจน เพราะภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอาจมีอาการคล้ายกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้ออักเสบ

ตัวอย่างการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น

    การตรวจเลือด เพื่อหาแอนติบอดีที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอักเสบ
    การตรวจทางประสาทสรีรวิทยา เช่น การตรวจการหดตัวของกล้ามเนื้อ หรือการตรวจการขยายตัวของรูม่านตา
    การตรวจการนำกระแสประสาทและการตอบสนองของกล้ามเนื้อ (Electromyogram)
    การตรวจ MRI หรือซีทีสแกน (CT Scan) เพื่อหาความผิดปกติของต่อมไทมัส เช่น เนื้องอก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติได้

การรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงให้หายขาด แต่ก็มีวิธีที่จะสามารถช่วยดูแล บรรเทา หรือควบคุมอาการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือส่งผลกระทบให้น้อยที่สุด

ตัวอย่างการรักษาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง มีดังนี้

การดูแลอาการด้วยตัวเอง

ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยตัวเองหลายวิธี เช่น หลีกเลี่ยงการใช้สายตามากเกินไป เช่น การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ งีบหรือพักสายตาระหว่างวัน และประคบเย็นบริเวณดวงตา ใบหน้า และหน้าผาก หากรู้สึกว่าอากาศร้อนมากเกินไป

อีกทั้ง ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยเสริมสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อภายในร่างกายแข็งแรง และอาจช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

การรักษาด้วยยา

แพทย์อาจรักษาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงด้วยการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ลดการทำลายสารสื่อประสาท เช่น ยาลดอาการหย่อนของกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพมากขึ้น แต่จะใช้ในกรณีที่ยาตัวอื่น ๆ ไม่ได้ผลเท่านั้น

การเปลี่ยนถ่ายพลาสมา

แพทย์อาจอาจรักษาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงด้วยการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา (Plasmapheresis) โดยการนำนำแอนติบอดีชนิดที่ผิดปกติออกจากเลือด และนำแอนติบอดีชนิดที่ปกติซึ่งได้จากการบริจาคมาเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เลือดแทน นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการฉีดอิมมิวโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) เพื่อช่วยเพิ่มแอนติบอดีชนิดที่ปกติภายในเลือดที่ได้รับการบริจาคมาด้วย

การผ่าตัด

แพทย์อาจอาจรักษาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงด้วยการผ่าตัดเนื้องอกบริเวณต่อมไทมัสออก หากพบว่าการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไทมัสส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเป็นสาเหตุของการให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและควรได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเหมาะสมหลายประการ โดยเฉพาะภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ เพราะอาจให้ทางเดินหายใจอุดตัน เกิดการขัดขวางการหายใจ และผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยในการหายใจเลยทีเดียว

การป้องกันกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอาจป้องได้ยาก เพราะยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดดอาการที่แน่ชัด แต่ก็มีวิธีป้องกันหรือลดความเสี่ยงสำหรับผู้ป่วย เพื่อช่วยไม่ให้เกิดอาการที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนี้

    รับประทานยารักษาโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยลดอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
    รับประทานอาหารหลัก 5 หมู่ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วน และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อน เพราะอาจส่งผลให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงได้
    จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เพราะความเครียดอาจส่งผลให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงได้

หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก หรือสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่เหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และอาจทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงได้

9
สร้างรายได้ จากการขายข้าวผัดรถไฟ ข้าวผัดโบราณหอมๆ ทำง่ายๆ แต่อร่อยมาก

อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นและความหลากหลายของอาหารและหนึ่งในเมนูที่ทำง่ายที่สุดแต่ให้ความพึงพอใจมากที่สุดคือข้าวผัดรถไฟอาหารจานเดียวคลาสสิกนี้มีประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ รสชาติที่อร่อยและทำได้ง่ายมากที่บ้าน ข้าวผัดรถไฟมีรสชาติหวานเค็มกลมกล่อม เป็นเมนูที่นิยมรับประทานกันทั่วไป สามารถปรับเปลี่ยนส่วนผสมได้ตามความชอบ

ประวัติความเป็นมาของข้าวผัดรถไฟไทย
ข้าวผัดรถไฟไทยได้ชื่อมาจากระบบรถไฟของประเทศไทย เป็นอาหารยอดนิยมที่เสิร์ฟตามสถานีรถไฟและบนรถไฟ เนื่องจากปรุงง่าย ราคาไม่แพง และบรรจุหีบห่อเพื่อเดินทางได้สะดวก แตกต่างจากข้าวผัดทั่วไป อาหารจานนี้มีกลิ่นหอมของควัน รสชาติหวานและเผ็ดเล็กน้อย และผสมผสานส่วนผสมที่เรียบง่ายได้อย่างลงตัว

ส่วนผสมสำหรับทำข้าวผัดรถไฟไทย
เคล็ดลับในการทำข้าวผัดรถไฟแท้ๆคือการใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย:
ข้าวหอมมะลินึ่งสุก (ควรใช้ข้าวเหลือจะอร่อยยิ่งขึ้น)
ไข่
กระเทียมสับ
หอมหัวใหญ่ (หั่นบาง)
ไส้กรอกจีนหรือโปรตีนชนิดใดก็ได้ตามต้องการ เช่น ไก่ หมู หรือกุ้ง
ซอสมะเขือเทศ (ให้สีแดงเป็นเอกลักษณ์และมีรสหวานเล็กน้อย)
ซีอิ๊วขาวและซอสหอยนางรม (เพื่อรสชาติอูมามิ)
น้ำตาล (เพื่อความสมดุลของรสชาติ)
ต้นหอมซอยสำหรับตกแต่ง
แตงกวาหั่นเป็นแว่น (สำหรับเสิร์ฟ)

วิธีทำข้าวผัดรถไฟ

ปฏิบัติตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้เพื่อสร้างเมนูรสชาติดีนี้ที่บ้าน:
เตรียมข้าว – ใช้ข้าวเหลือที่เย็นเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวนิ่มเกินไป
ปรุงโปรตีน – หากใช้กุนเชียง ให้หั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วผัดจนกรอบเล็กน้อย หากใช้ไก่ หมู หรือกุ้ง ให้ปรุงด้วยน้ำมันเล็กน้อยจนสุกเต็มที่
ผัดให้หอม – ใส่กระเทียมสับและหัวหอมหั่นบางลงในกระทะ ผัดจนหอม
ใส่ไข่ – ย้ายส่วนผสมไปไว้ด้านใดด้านหนึ่งของกระทะ ตอกไข่ลงในช่องว่าง จากนั้นคนให้เข้ากันก่อนที่จะผสมกับส่วนผสมที่เหลือ
ใส่ข้าวลงไป – ใส่ข้าวสวยและคนให้เข้ากันกับส่วนผสมอื่นๆ
ปรุงรสจาน – ใส่ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำตาลเล็กน้อย และซอสมะเขือเทศ จากนั้นผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ผัดจนข้าวเคลือบทั่วและมีกลิ่นหอมควันเล็กน้อย
ตกแต่งให้สวยงามด้วยต้นหอมซอยด้านบนและเสิร์ฟพร้อมแตงกวาสด

ทำไมคุณควรลองข้าวผัดรถไฟไทย

รวดเร็วและง่ายดาย – เมนูที่สมบูรณ์แบบสำหรับวันยุ่งๆ ใช้เวลาปรุงเพียง 10-15 นาที
ประหยัดงบประมาณ – ใช้ส่วนผสมง่ายๆ ในราคาไม่แพงที่พบได้ในห้องครัวส่วนใหญ่
ความสมดุลของรสชาติที่ยอดเยี่ยม – การผสมผสานระหว่างรสชาติเผ็ด รสหวาน และรสควันทำให้กลายเป็นที่ชื่นชอบสำหรับทุกวัย
อเนกประสงค์ – สามารถทำได้ด้วยโปรตีนและผักหลายชนิดตามความชอบ

ข้าวผัดรถไฟไทยไม่เพียงแต่เป็นอาหารรสเลิศเท่านั้น แต่ยังเป็นเมนูที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาอาหารกลางวันด่วน อาหารเย็นอิ่มอร่อย หรือสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมทางรถไฟของไทยแบบย้อนยุค ข้าวผัดที่ทำง่ายนี้เป็นเมนูที่ต้องลอง

10
รถรับจ้างขนของขอนแก่น เรามีรถที่ไว้คอยบริการมากมายทั้ง รถกระบะรับจ้าง รถรับจ้างย้ายบ้าน รถหกล้อรับจ้าง

มาแล้วจ้าสำหรับ รถรับจ้างขนของขอนแก่น ทุกงานบริการเราพร้อมที่จะให้ แก่ลูกค้าทุกคนที่ต้องการขนย้ายของ ไม่ว่าคุณจะ ย้ายหอ ย้ายสำนักงาน ขนของย้ายบ้าน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายสินค้า อุปโภคบริโภค อุปกรณ์ก่อสร้าง ไซต์งานก่อสร้าง หรือจะขนย้ายอื่นๆ เราก็มีความพร้อม ที่จะให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยประสบการณ์และความชำนาญที่ยาวนานกว่า 15 ปี เราบริการลูกค้าทุกระดับ เต็มความประทับใจ มี พนักงานยกของ  จำนวนมากไว้คอยบริการลูกค้าทุกจุดทุกพื้นที่ในประเทศไทย

พื้นที่ที่เราให้บริการ รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างเที่ยวกลับ ตอนนี้เราให้บริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคม เรามีรถเที่ยวกลับจำนวนมากไว้คอยบริการลูกค้า แต่ก็ยังมีจำนวนจำกัด เนื่องจากว่าในช่วงเทศกาลดังกล่าวนี้มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสำหรับใครที่มีแผนจะขนย้ายของที่แน่นอน

ท่านต้องรีบจอง รถขนของราคาถูก นี้เป็นการด่วน เพื่อที่ท่านจะได้ประหยัดต้นทุนค่าขนย้าย หากท่านติดขัดประการใดยังไงโทรมาคุยปรึกษากันก่อนเรามี รถรับจ้างขนของราคาถูก ไปคอยบริการอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยไม่ว่าคุณต้องการที่จะขนย้ายไปยังจังหวัดไหน เราก็พร้อมที่จะให้บริการท่าน ได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถพูดคุยโทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ที่ดูแลท่านได้เลยทันที สงสัยอะไรสอบถามได้ เรามีคำตอบและมีการวางแผนดีๆไว้ให้กับท่าน อย่างแน่นอน

อย่าลืมนะหากท่านสนใจที่จะใช้บริการ รถกระบะรับจ้างขนของ รถ6ล้อรับจ้าง รถหกล้อรับจ้างย้ายบ้าน รถรับจ้างขนของ ขนย้ายของ ขนย้ายออฟฟิศ ขนย้ายสำนักงาน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายเครื่องจักร รถสิบล้อรับจ้าง รถเทลเลอร์รับจ้าง รถเฮี๊ยบรับจ้าง หรือ รถรับจ้างอื่นๆทั่วไป เราพร้อมที่ให้บริการท่านได้อย่างไม่มีปัญหาทุกงานบริการ จะย้ายหอย้ายบ้าน ย้ายอะไรก็ตามแต่ โทรเข้ามาปรึกษากับเราได้เลยทันทีเรายินดีให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง เราอยากให้คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง กับทีมงานขนส่งกับเราเรามีความมั่นใจว่าจะให้บริการ ท่านและให้คำแนะนำท่านได้เป็นอย่างดีที่สุดจากประสบการณ์แต่การทำงานของเราขอบคุณลูกค้าทุกท่าน

ผู้ที่เข้ามาใช้บริการรายเก่าและรายใหม่ เรามีความสุขและมีความดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับโอกาสเข้าไปรับใช้ท่าน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้เราขอให้ลูกค้าทุกคน จงมีแต่ความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้ได้สมดังปรารถนา กิจการรุ่งเรือง มั่งคั่ง สุขภาพร่างกายแข็งแรง ตลอดปีและตลอดไป รถรับจ้างขนย้ายของ ขนส่ง ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง

ไม่ว่าคุณจะต้องการใช้บริการรถประเภทไหน งานอะไร เช่น งานขนย้ายบ้าน ย้ายกล่องสินค้า ย้ายสินค้าบริโภค วนใหญ่ก็จะเป็น รถกระบะรับจ้าง ทั้งแบบตู้ทึบและแบบคอกสูง เช่นเดียวกันกับ รถหกล้อรับจ้าง ทั้งแบบตู้ทึบและแบบคอกสูง ส่วนถ้างานใหญ่ๆ ก็ต้องยกให้ให้  รถบรรทุกรับจ้าง รถเครนรับจ้าง รถเฮียบรับจ้าง รถเทรนเลอร์รับจ้าง รถขนส่งรับจ้าง เป็นต้น เมื่อคิดถึงรถ ขอให้คุณนึกถึงเรา โทรมาหาเราเลยสิ เราพร้อมรอสายคุณตลอด 24 ชั่วโมง และยินดีให้บริการแก่คุณตลอดเวลา เลือกใช้บริการรถรับจ้างของเราแล้วคุณจะไมผิดหวัง แถมยังได้ความประทับใจจากการบริการที่ดีของเรากลับไปอีกด้วย

ซึ่งนี้ ทางเราได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของ รถรับจ้าง ที่จะเข้ามาให้บริการลูกค้า เป็นอย่างดี เพื่อต้องการที่จะ สนับสนุนงานขนย้ายให้กับลูกค้าได้ทุกประเภท เราเตรียมความพร้อมในเรื่องของ คุณภาพของรถ ประสิทธิภาพของรถ และพนักงานยกของ จำนวนมากมาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขาดตกบกพร่องในระหว่างการให้บริการลูกค้าทุกคน ซึ่งจากประสบการณ์และการทำงานของเราโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันสำคัญ เรารู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

เพราะบางคนต้องการที่ย้ายที่อยู่ กลับต่างจังหวัด ย้ายงานใหม่ ขนย้ายบ้าน หรือย้ายออฟฟิศ ต่างมีความจำเป็นเป็นอย่างมากที่จะใช้บริการ รถรับจ้างขนย้ายของจังหวัดขอนแก่น เข้าไปให้บริการดังนั้น ทีมงานขนส่ง เราจึงมีการวางแผนที่ดีให้กับลูกค้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี เราให้บริการลูกค้า เป็นจำนวนมาก และเราจะรู้ถึง ปัญหา และการแก้ไขปัญหาในระหว่างหน้างานที่เราให้บริการในช่วงเทศกาลวันสำคัญ ได้เป็นอย่างดี เพื่อนคนไหนที่ต้องการจะใช้บริการสามารถ ตรวจเช็คราคาค่าขนย้าย หรือจะขอมาพูดคุยรายละเอียด ขอคำแนะนำงานขนย้ายต่างๆกับเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง

11
บริการด้านอาหาร: ซุปบร็อคโคลี เมนูง่ายๆ ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ

 หลายคนที่กำลังลดน้ำหนัก อาจเคยเจอปัญหาน้ำหนักไม่ลดน้อยลงเลย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร นับเป็นอุปสรรคในการลดน้ำหนักที่สำคัญ ที่เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากระบบเผาผลาญเสื่อม ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากภายในร่างกาย และเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว โดยระบบเผาผลาญเสื่อมก็มีสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน ทั้งแบบที่สามารถรักษาได้และรักษาไม่ได้ โดยปกติร่างกายคนเรามีการเผาผลาญตลอดเวลา แม้ในระหว่างนอนนิ่ง ๆ อยู่กับที่ ร่างกายก็ยังมีการเผาผลาญไปด้วย

โดยแต่ละบุคคลจะมีอัตราการเผาผลาญพื้นฐานแตกต่างกันออกไป และเมื่อร่างกายมีการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือมีการใช้แรง เช่น เดิน พูดคุย ร่างกายก็จะมีอัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ขณะที่ร่างกายทำการย่อยอาหารและดูดซึมก็มีการเผาผลาญเกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การกระตุ้นการเผาผลาญ จึงสามารถช่วยทำให้ร่างกายของเรามีการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ มีประสิทธิภาพ  และไม่เกิดสารอนุมูลอิสระที่เป็นโทษในปริมาณมาก
ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาแนะนำเมนูอาหารที่ช่วยในการกระตุ้นระบบเผาผลาญ นั่นก็คือ เมนูซุปบร็อคโคลี เป็นเมนูที่รับประทานง่าย และดีต่อสุขภาพอีกด้วย ซึ่งถือว่ากลุ่มคนรักสุขภาพที่นิยมรับประทานบร็อคโคลีดิบด้วย ซึ่งถ้าล้างให้ดีก่อนก็จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่

  ซึ่งต้องบอกก่อนว่า บร็อคโคลี ถือเป็นผักมีไฟเบอร์สูงมาก แถมยังสามารถละลายในน้ำได้ดี ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ มีวิตามินและธาตุเหล็กสูง แถมยังวิตามินซีสูง ช่วยลดการดูดซึมไขมันได้ดี เป็นอาหารลดไขมันที่ช่วยบำรุงสุขภาพและบำรุงผิวของเราด้วย ถือว่าเป็นผักที่เหมาะกับเมนูอาหารสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน แถมยังดีต่อการกระตุ้นระบบเผาผลาญของเราได้เป็นอย่างดี

สำหรับวัตถุดิบในการเมนูสุขภาพนี้ก็คือ น้ำซุปผัก บร็อคโคลี นมสดรสจืด มันฝรั่ง หอมใหญ่ กระเทียม  น้ำมันมะกอก เกลือ พริกไทย เครื่องเทศสำหรับปรุงรส สำหรับขั้นตอนการทำก็ง่ายเพียงแค่ ลวกบร็อคโคลีให้สุกในน้ำเดือดจัดประมาณ 10 วินาที จากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำเย็น จากนั้นตั้งกระทะผัดหอมใหญ่ มันฝรั่งและกระเทียมให้พอสุก ใส่บร็อคโคลีลงไป ปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามชอบ จากนั้นใส่น้ำซุปผักลงไปและเคี่ยวประมาณ 20-30 นาที รอจนเย็นและนำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่น ปั่นจนเนื้อเนียน เป็นอันเสร็จ ซึ่งวิธีการทำต้องบอกว่าง่าย แถมเราจะได้เมนูสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายของเราแล้ว ยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

 บำรุงผิวพรรณ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน เรื่องจากบร็อคโคลี่เป็นผักที่มีแคลเซียมสูง นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยสามารถป้องกันอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งผักในตระกูลกะหล่ำ มีความสัมพันธ์กับการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองได้ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรงยิ่งขึ้นด้วย  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บร็อคโคลีก็เป็นแค่ผักชนิดหนึ่งเท่านั้น เราจะเอามากินเป็นอาหารหลักโดยไม่สนใจความสมดุลย์ของพลังงานและสารอาหารก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ควรระวังเรื่องระดับน้ำตาลด้วย เพราะว่าวิตามินเคที่ได้จากบร็อคโคลี อาจจะไปมีผลต่อยาลดน้ำตาลที่รับประทานอยู่ได้ ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

 ดังนั้น ทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกรับประทานให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำให้มากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ที่จะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ และห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

12
ดอกบัวในโถแก้ว: ดูแลดอกไม้แห้งอย่างไร?

ดอกไม้แห้งกลายเป็นที่นิยมและเป็นทางเลือกแทนดอกไม้สดแบบดั้งเดิม เมื่อคุณได้ซื้อช่อดอกไม้แห้งแล้ว และคุณอาจสงสัยว่าคุณควรดูแลดอกไม้แห้งอย่างไร

เคลื่อนย้ายช่อดอกไม้แห้งอย่างนุ่มนวล เราจะทำการจัดส่งช่อดอกไม้ให้มาถึงมือคุณอย่างปลอดภัย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกไม้เหล่านี้เสียหาย เราขอแนะนำให้คุณผูกช่อดอกไม้และสัมผัสดอกไม้เบาๆ เพราะดอกไม้แห้งนั้นค่อนข้างบอบบาง

ควรเก็บให้พ้นแสงแดด ควรเก็บรักษาช่อดอกไม้แห้งให้ห่างจากที่ที่มีลม และให้พ้นจากแสงแดด เนื่องจากสีของดอกไม้จะจางลงอย่างรวดเร็วเมื่อโดนแสงแดดโดยตรง

ห้ามเติมน้ำลงใส่แจกันดอกไม้แห้ง เพราะดอกไม้เหล่านี้ไม่ต้องการน้ำ ดังนั้นควรเก็บให้ห่างจากความชื้น

ทำความสะอาดเบาๆ หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดด้วยอุปกรณ์ที่มีลักษณะแข็ง ควรทำความสะอาดด้วยไม้ปัดขนไก่เพื่อปัดฝุ่นออกไป

การจัดดอกไม้แห้งในแจกัน

การจัดดอกไม้แห้งในแจกันเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการทำให้ห้องนั่งเล่นของคุณสวยงาม น่ามอง พื้นผิวที่แตกต่างกันของดอกไม้แห้งและใบไม้เป็นของตกแต่งที่น่ารักสำหรับทุกห้อง การจัดดอกไม้แห้งในแจกันเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความมีมิติให้กับห้อง ไม่ว่าคุณต้องการสไตล์แบบไหน ช่อดอกไม้แห้งของเรามีให้คุณเลือกหลากหลายเฉดสี เพื่อทำให้เข้ากับของตกแต่งที่คุณมีอยู่ได้อย่างง่ายดาย

หากคุณต้องเดินทางตลอดเวลา คุณไม่จำเป็นต้องมาคอยจัดดอกไม้แห้งใหม่ เพราะเจ้าดอกไม้แห้งนี้จะคงความสวยงามได้นานหลายสัปดาห์หรือนานหลายเดือน และยังคงอยู่ในสภาพเดิมได้เป็นเวลานาน  สิ่งที่ดีที่สุดของดอกไม้แห้งเหล่านี้คือพวกมันไม่ต้องการการดูแลที่เป็นพิเศษนั่นเอง

ดอกไม้แห้งสามารถเก็บรักษาได้นานแค่ไหน?

ดอกไม้ที่เก็บรักษาไว้มีอายุการใช้งานประมาณ 1 ถึง 3 ปี หากคุณดูแลช่อดอกไม้เหล่านี้อย่างระมัดระวัง

ดอกไม้แห้งเป็นที่นิยมในประเทศไทยหรือไม่?

ใช่ ดอกไม้แห้งเป็นที่นิยมในประเทศไทยเนื่องจากมีอายุการใช้งานที่นานกว่าดอกไม้สดและไม่ต้องการการดูแลมากนัก ถึงจะมีราคาที่แพงกว่าดอกไม้สด แต่ข้อดีคือสามารถใช้ตกแต่งพื้นที่ได้นานโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนดอกไม้บ่อยๆ

ดอกไม้แห้งเป็นดอกไม้จริงหรือไม่?

ดอกไม้แห้งหรือที่เรียกกันว่าดอกไม้แปรรูป ครั้งนึงเคยเป็นดอกไม้จริงทั้งหมดแต่ถูกทำให้แห้งเพื่อคงรูปร่างและสีเดิมของดอกไม้เอาไว้

13
การจัดฟันเด็ก ช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันได้

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป้นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครองมีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะขณะที่เด็กอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านทั้งตอนเช้าก่อนมาโรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน และวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เด็กจะได้อยู่ร่วมกับพ่อแม่ที่บ้าน ดังนั้น พ่อแม่มีหน้าที่ส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันให้กับเด็ก อย่างเช่น การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กมีปัญหาฟันผุ ตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่อยู่ในช่วงของการมีฟันน้ำนม พ่อแม่ส่วนใหญ่มองว่า ฟันน้ำนมของลูกนั้น ไม่มีความสำคัญ เพราะคิดว่า ยังไงก็ต้องหลุดออกไปและมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด

เพราะถ้าเด็กมีปัญหาฟันผุตั้งแต่ในช่วงฟันน้ำนม ก็อาจจะทำให้ฟันน้ำนมหลุกก่อนกำหนดได้ นั่นหมายความว่า จะส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อาจจะทำให้ฟันมีลักษณะการขึ้นที่ผิดปกติ มีการสบฟันที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหารุนแรงตามมาในอนาคต เด็กบางคนมีปัญหาฟันรุนแรงมาก ซึ่งวิธรการแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งถือว่าเป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถแก้ไขฟันได้แทบทุกกรณี และยังส่งผลดีต่อโครงสร้างของใบหน้าอีกด้วย และที่สำคัญช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว เพื่อให้บุตรหลานของท่านมีภูมิคุ้มกันและรู้จักวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง

วันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ที่สามารถช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันของลูกน้อยได้ แต่ก่อนอื่นเราจะมาอธิบายในเรื่องของการจัดฟันในเด็กก่อนว่า ในปัจจุบันนี้เด็กในวัยประถมก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลานของท่านที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว และเด็กในวัยนี้สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ การจัดฟันในเด็ก ยังสามารถช่วยทำให้ปัญหาในเรื่องของฟัน ลักษณะฟัน หรือแม้กระทั่งการสบฟันที่มีความผิดปกติที่อาจจะเกิดจากพฤติกรรมในวัยเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มักเป็นการจัดฟันบางส่วน มีจุดประสงค์ในการจัดฟันก็เพื่อการรักษาเฉพาะบริเวณ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในเบื้องต้น หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ซึ่งเมื่อเด็กโตพอ ก็มักจะต้องจัดฟันทั้งปากต่อไปได้ แต่ต้องบอกว่า เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้โต เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต หากปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะปัญหาในเรื่องของฟัน เราจะต้องรีบแก้ไข เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่อฟันบริเวณข้างเคียงได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านมาเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้นได้ที่คลินิกเพระทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะทางเราให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง สามารถแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีและสะอาดมากที่สุด เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกค้าทุกคน เพื่อที่จะได้มีช่องปากและฟันที่สะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

14
Doctor At Home: หงอนไก่ (Genital warts/Condyloma acuminata)

หงอนไก่ คือหูดที่เกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ มีลักษณะคล้ายหงอนไก่

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี มักเกิดกับผู้ที่ไม่รู้จักรักษาความสะอาด หรือสุขนิสัยไม่ดี อาจติดต่อโดยเพศสัมพันธ์

ผู้ป่วยเอดส์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ซึ่งมักจะขึ้นหลายแห่งและเป็นเรื้อรัง

ระยะฟักตัว 1-6 เดือน

อาการ

หูดที่อวัยวะเพศจะขึ้นเป็นติ่งเนื้องอกอ่อน ๆ สีชมพู ซึ่งลุกลามอย่างรวดเร็ว จนมีลักษณะคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ จึงเรียกว่า โรคหงอนไก่

หูดชนิดนี้ชอบขึ้นตรงบริเวณที่อับชื้นและอุ่น ในผู้ชายมักพบขึ้นที่บริเวณรอบ ๆ ปลายองคชาต ส่วนน้อยอาจขึ้นตรงปลายท่อปัสสาวะ  ส่วนในผู้หญิงอาจขึ้นที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือปากมดลูก

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ อาจลุกลามเข้าไปที่ง่ามขา ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะ (ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะได้)

     ระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีอาการตกขาว หงอนไก่อาจเจริญงอกงามและแพร่กระจายรวดเร็ว

     ในหญิงตั้งครรภ์ หงอนไก่อาจโตขวางทางคลอดทำให้เด็กคลอดลำบาก หรือเชื้ออาจเข้าไปในปากหรือคอเด็กขณะคลอด ทำให้เกิดหูดในกล่องเสียง เป็นเหตุให้เด็กออกเสียงหรือหายใจไม่ได้ (อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนหูดออก)

นอกจากนี้ ผู้หญิงที่เป็นหงอนไก่ที่บริเวณปากมดลูก อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเอดส์ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้น ผู้หญิงกลุ่มนี้ควรหาทางหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ และควรตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะแรกเริ่มอย่างน้อยปีละครั้ง

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากการตรวจพบรอยโรคของหงอนไก่ และการนำเนื้อเยื่อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

ในรายเห็นรอยโรคไม่ชัดเจน แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยใช้กรดอะซีติก (acetic acid) ขนาด 5% ทาตรงตำแหน่งที่ติดเชื้อจะเห็นเป็นบริเวณสีขาวๆ แล้วใช้กล้องส่องตรวจ

สำหรับผู้หญิงที่ตรวจพบว่าเป็นหงอนไก่ (มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก) แพทย์จะทำการตรวจมะเร็งปากมดลูกระยะแรก (ด้วยวิธีแพ็บสเมียร์)


การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่มีอาการเล็กน้อยจะให้สังเกตดูอาการ บางรายอาจหายเองได้ภายใน 2 ปี

แต่ถ้ามีรอยโรคมาก หรือมีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บปวด แพทย์จะให้การรักษาโดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้

    ทายาโพโดฟิลลิน (podophyllin) ชนิด 25% แต่จะต้องระวังไม่ให้ถูกเนื้อดี โดยใช้วาสลินทาปิดเนื้อดีโดยรอบไว้ก่อน หลังทายา 4-6 ชั่วโมงควรล้างออก ทาซ้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย ถ้าเกิน 1-2 เดือนแล้วยังไม่หายควรเปลี่ยนเป็นวิธีอื่น วิธีนี้ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือขึ้นบริเวณปากมดลูก หรือในท่อปัสสาวะ
    ใช้ครีมอิมิควิมด (imiquimod) ชนิด 5% ซึ่งเป็นยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทาก่อนนอนวันเว้นวัน นาน 16 สัปดาห์ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือขึ้นบริเวณปากมดลูก หรือภายในช่องคลอด
    ทาด้วยกรดไตรคลอโรอะซิติกชนิด 50-70% ซึ่งสามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์
    จี้ด้วยไฟฟ้าหรือไนโตรเจนเหลว
    รักษาด้วยแสงเลเซอร์
    รักษาด้วยการผ่าตัด ในรายที่เป็นหงอนไก่ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์
    ในรายที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว แพทย์อาจให้การรักษาโดยให้ผู้ป่วยกินไซเมทิดีนในขนาดสูง (30-40 มก./กก./วัน) ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยให้นาน 6-8 สัปดาห์ จะช่วยให้หูดยุบหายหมดได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีติ่งเนื้องอกอ่อน ๆ สีชมพู ลักษณะคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำที่บริเวณอวัยวะเพศ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหงอนไก่ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังการรักษาแล้ว หากมีอาการปวด แสบ คัน พุเป็นตุ่มน้ำ หรือบวมที่บริเวณรอยโรคไม่ทุเลา ใน 1-2 สัปดาห์
    มีหงอนไก่เกิดขึ้นใหม่

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคลคลอื่นที่ไม่ใช่คู่ครอง
    หากมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรใช้ถุงยางอนามัย
    สำหรับผู้หญิงควรฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine) ชนิดที่ป้องกันได้ทั้งโรคหงอนไก่ และมะเร็งปากมดลูก

ข้อแนะนำ

1. สามีหรือภรรยาของผู้ที่มีหงอนไก่ควรให้แพทย์ตรวจ ถ้ามีหงอนไก่ควรรักษาพร้อม ๆ กันไป เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อระหว่างกัน

2. ถ้าพบว่ามีหงอนไก่ขึ้นหลายแห่ง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรส่งตรวจเลือดดูว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่

15
ถ้าเด็กไม่ชินกับเครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE ควรทำอย่างไร

การรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เด็กควรที่จะแปรงฟันให้ถูกวิธีและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะใส่ใจในเรื่องของโภชนาการของเด็กด้วย เพื่อที่ให้เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมา นอกจากนี้ พฤติกรรมที่มีความผิดปกติของเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่สอดส่องดูแลเพื่อให้เด็กได้ลดพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการดูดนิ้ว พฤติกรรมการดูดขวดนม

ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยนี้ แต่ถ้าหากเด็กยังไม่เลิกพฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กได้ ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันการสบฟันที่ผิดปกติหรือกล้ามเนื้อโครงสร้างบริเวณใบหน้าทำงานผิดปกติ เด็กก็ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กโดยใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งในปัจจุบัน ทางทันตกรรมได้พบว่ากล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น จึงมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง

โดยเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่า EF line โดยสามารถใช้ได้ในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 -15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า ซึ่งสามารถแก้ไขได้ แต่เด็กที่ได้ผ่านการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือกำลังเริ่มที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE พ่อแม่หลายคนกังวลว่า การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ของเด็กนั้น จะส่งอันตรายต่อเด็กหรือไม่ วันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาสำหรับเด็กที่มีอาการผิดปกติหรืออาจจะยังไม่ชินกับเครื่องมือ EF LINE ว่า พ่อแม่ควรจะรับมืออย่างไร

สำหรับเครื่องมือ EF line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต โดยเด็กจะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันตามที่ทันตแพทย์แนะนำ หรือใส่ คือ ตอนกลางคืนเวลานอนหลับ 10 ชม. เวลากลางวัน 2 ชั่วโมง

ซึ่งในระหว่างใส่กลางวัน โดยพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมอยู่ตลอด เวลาที่เด็กใส่เครื่องมือ EF LINE โดยควรให้เด็กใส่เครื่องมืออยู่นิ่งๆ ไม่เคี้ยวเล่น ไม่พูด ปากปิดสนิทเพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบปาก ให้เด็กดื่มน้ำมากเพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปากของเด็ก หากมีอาการระคายเคืองบางตำเเหน่ง ใช้ยาทาเเผลในปาก โดยทาตรงบริเวณที่เจ็บเพื่อบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE วันเเรกๆของการใส่อาจไม่สบายนัก แต่ร่างกายจะปรับตัวยอมรับและดีขึ้นเอง

ซึ่งแรกๆเด็กบางคนอาจมีทำท่าทางเหมือนอยากจะอาเจียน แต่พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรพยายามให้เด็กใส่ให้เกิดความเคยชินขึ้น โดยอาจปรับเวลาเป็นการใส่ครั้งแรก อาจใส่ครึ่งชั่วโมงเพื่อการปรับตัวแล้วพัก และใส่ต่อ โดยค่อยๆเพิ่มเวลา เมื่อเวลาผ่านไป เด็กจะสามารถสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ได้นานขึ้น และเพลินเพลินกับการทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วยได้ เช่น นั่งใส่ดูการ์ตูน อ่านหนังสือ และอื่นๆโดยไม่เผลอเคี้ยวหรือกัดเล่นเพราะเด็กบางคนอาจเผลอเคี้ยวเล่นหรือพยายามกัดและขยับให้พอดี

เเต่อาจเป็นผลทำให้เครื่องมือ EF LINE ขาดได้ ทางที่ดีเมื่อใส่ EF LINE ก็ควรจะปรับ EF LINE ให้ตรงและเตือนเด็กให้พยายามใส่ประคองด้วยฟัน และนิ่งๆไว้ไม่เคี้ยวเล่น เมื่อเวลาผ่านไป ฟัน กระดูกเหงือก เนื้อเยื่อในปาก กล้ามเนื้อและลิ้นจะปรับตัวตามเครื่องมือ ปัญหาอาการระคายเคืองต่างๆจะค่อยๆลดลงจนสามารถใส่ได้นานๆอย่างสบาย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนที่จะช่วยทำให้เด็กเกิดความเคยชินในการใส่เครื่องมือได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line สามารถขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 61
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google